ปัจจุบัน Gutenberg ได้พัฒนาไปไกลจนสามารถรองรับ Full Site Editing (FSE) ได้อย่างสมบูรณ์ ผู้ใช้งานสามารถแก้ไขส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ตั้งแต่ Header, Footer ไปจนถึงส่วนประกอบอื่น ๆ บนหน้าเว็บ โดยไม่ต้องพึ่งธีมหรือโค้ดเพิ่มเติมมากนัก นอกจากนี้ บล็อกต่าง ๆ ยังมีคุณสมบัติปรับแต่งที่หลากหลาย ช่วยให้การออกแบบยืดหยุ่น
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่พบได้บ่อยสำหรับนักพัฒนาและผู้ใช้คือความผิดพลาดที่เกิดจากการแก้ไขหรือปรับแต่งแบบไม่ตั้งใจ (เช่น การเปลี่ยน Component หรือ Layout โดยไม่ระวัง) ซึ่งอาจทำให้การจัดวางโครงสร้างเว็บไซต์เสียหายหรือ “พัง” ได้
เพื่อตอบโจทย์ปัญหานี้ WordPress ตั้งแต่เวอร์ชัน 6.6 ขึ้นไป ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า Overrides Pattern ซึ่งช่วยป้องกันการแก้ไขที่อาจส่งผลต่อการทำงานของส่วนประกอบต่าง ๆ
สารบัญ
Pattern คืออะไร ?
Pattern ใน WordPress คือชุดของ Blocks หลาย ๆ ตัวที่ถูกรวมเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นกลุ่มหรือโครงสร้างสำเร็จรูป เปรียบเสมือน เทมเพลตขนาดย่อม ที่ออกแบบมาให้พร้อมใช้เมื่อใช้ Patterns หลาย ๆ ชุดร่วมกัน จะช่วยให้การสร้างหน้าเว็บไซต์สมบูรณ์และรวดเร็วยิ่งขึ้น และยังช่วยลดการทำงานที่ซ้ำซ้อนอีกด้วย มาดูวิธีการสร้าง Pattern ใน Gutenburg กัน
Sync Pattern คืออะไร ?
Sync Pattern ใน WordPress คือรูปแบบหนึ่งของ Pattern ที่มีคุณสมบัติในการซิงค์หรืออัปเดตข้อมูลแบบเรียลไทม์ หากมีการแก้ไขหรือปรับแต่งเนื้อหาใน Sync Pattern ครั้งหนึ่ง ทุกที่ที่ใช้งาน Pattern เดียวกันจะอัปเดตตามไปด้วยทันที
แต่ในบางครั้งเราต้องการใช้ Pattern โครงสร้างเดิม แต่ต้องการแก้ไขข้อมูลข้างในเฉพาะบางส่วนโดยไม่อยากให้ไปกระทบตัวอื่นๆ ที่ใช้ร่วมกันด้วย WordPress จึงออกความสามารถที่เรียกว่า Overrides Pattern ขึ้นมา
Overrides Pattern คืออะไร ใช้ยังไง ?
คือฟีเจอร์ที่ช่วยให้เราปรับแต่ง ข้อมูลด้านใน Pattern โดยไม่ให้กระทบโครงสร้าง ( Layout ) เดิมที่ทำเอาไว้ โดยเราสามารถ เข้าไปยัง Pattern ผ่าน Apperance > Editor > Patterns หรือจะคลิกจาก Pattern ในหน้านั้นๆ โดยตรง โดยเลือก Edit Original ก็สามารถเข้าถึง Pattern นั้นๆได้
การใช้งาน Overrides Pattern ให้คลิกเลือก Block ที่เราต้องการ Overrides และทำการเปิดให้แก้ไขข้อมูลที่ปุ่ม “Enable overrides” จากนั้นตั้งชื่อ แล้วก็ทำการกดปุ่ม “Save”
โดยในตัวอย่างจะให้แก้ ชื่อหัวข้อ, รายละเอียด และปุ่มเท่านั้น สังเกตที่ด้านขวาเมื่อเราคลิกที่ Pattern จะแสดงช่องฟิลด์ที่เราทำการแก้ไขได้ โดยให้เราคลิกไปยัง Block ที่เราต้องการแก้ไขข้อมูล จะสังเกตได้ว่าเราสามารถแก้ไข ข้อมูลของตัวนั้นเท่านั้น แต่จะไม่สามารถยุ่งกับโครงสร้างอื่นๆ หรือการขยับ ปรับย้ายที่ ที่เราไม่ได้ทำการ Overrides ไว้ ทำให้เป็นการกำหนดขอบเขต ในการแก้ไขให้ผู้ใช้ได้เป็นอย่างดี
ซึ่งถ้าให้เปรียบเทียบกับการพัฒนาแบบเดิม คือการเจาะช่อง และใช้ Custom Field เพื่อให้ User กรอกเฉพาะข้อมูล โดยไม่ไปแปะแตะต้องโครงสร้างใดๆ แต่อันนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาเป็นรูปแบบ Block และสามารถใช้ซ้ำได้ในทุกที่ และยืดหยุ่นกว่ามาก