บทความนี้จะมาแนะนำวิธีการเริ่มต้นเป็นนักพัฒนา WordPress Theme สำหรับผู้ที่สนใจสร้างธีมของตนเอง เชื่อว่าหลายคนที่ยังใช้ Elementor, Visual Composer, Beaver Builder, Oxygen Builder อาจมีคำถามว่า ถ้าอยากเริ่มเขียนธีมของตัวเองจะต้องทำอย่างไร บทความนี้จะแนะแนวทางในการเป็น Theme Developer ของ WordPress พร้อมกับสิ่งที่ควรเรียนรู้เพื่อเริ่มต้นได้อย่างไรกันครับ
เปรียเทียบข้อดี-ข้อเสีย ของการเขียนธีมเอง กับซื้อสำเร็จรูป
หัวข้อ | การพัฒนาธีมเอง | ซื้อธีมสำเร็จรูป |
---|---|---|
การปรับแต่ง | ปรับได้ทุกอย่างได้ตามใจ ทำให้ออกมาตรงกับดีไซน์ | ติดข้อจำกัดการปรับแต่งตามที่ธีมให้มา |
ความเป็นเอกลักษณ์ | ดีไซน์เป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใครแน่ๆ | มีคนใช้งานเยอะ อาจซ้ำกับผู้อื่นได้ |
ค่าใช้จ่าย | ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นสูงจากเวลาที่ใช้พัฒนา | ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นต่ำ พร้อมใช้งานทันที |
ระยะเวลา | ใช้เวลาพัฒนานาน | พร้อมใช้งานทันที |
โอกาสในการเรียนรู้ | เพิ่มทักษะการเขียนโค้ดและความเข้าใจใน WordPress | ไม่ต้องเรียนรู้มาก เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น และงบน้อย |
การสนับสนุนและอัปเดต | ขึ้นอยู่กับนักพัฒนาหรือทีมพัฒนา | มักมาพร้อมกับการอัปเดตและการสนับสนุนอย่างสม่ำเสมอ |
การปรับประสิทธิภาพ | สามารถจูนประสิทธิภาพได้ทุกส่วน เนื่องจากควบคุมได้ทุกอย่าง | จะมีฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็นโหลดมาด้วย ซึ่งทำให้เว็บช้าลงได้ |
เพิ่มความสามารถในอนาคต | สามารถพัฒนาให้ขยายได้ตามความต้องการในอนาคต | จำกัดตามฟีเจอร์ที่มีในธีม |
ไม่ว่าจะเลือกใช้แบบไหนก็ไม่มีผิดหรือถูก คุณสามารถเลือกใช้ตามที่ถนัดได้ แต่ถ้าคุณสามารถเขียนธีมเองได้ จะมีโอกาสให้คุณได้รู้จักและเรียนรู้ WordPress มากขึ้น รวมถึงสามารถสร้างจุดขายและพัฒนาตนเองได้อีกด้วย
สารบัญ
ขั้นตอนที่ 1 – เข้าใจพื้นฐาน HTML, CSS, JS
สำหรับผู้ที่ต้องการเป็น WordPress Theme Developer การมีความเข้าใจพื้นฐานของ HTML, CSS และ JavaScript (JS) เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะสามเทคโนโลยีนี้เป็นพื้นฐานของการพัฒนาเว็บไซต์และธีมใน WordPress
HTML (HyperText Markup Language) เป็นภาษามาร์กอัปที่ใช้ในการสร้างโครงสร้างและเนื้อหาของหน้าเว็บ ทุกองค์ประกอบของธีม WordPress ไม่ว่าจะเป็นส่วนหัว (header), เนื้อหา (content), ส่วนท้าย (footer) หรือแม้กระทั่งเมนูนำทาง ล้วนถูกสร้างขึ้นด้วย HTML การเข้าใจโครงสร้าง HTML จะช่วยให้คุณสามารถจัดการและแก้ไขโครงสร้างของธีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
CSS (Cascading Style Sheets) ใช้ในการจัดการสไตล์และการออกแบบของหน้าเว็บ เช่น สี, ฟอนต์, การจัดตำแหน่ง และเลย์เอาต์ การเข้าใจ CSS จะช่วยให้คุณสามารถปรับแต่งรูปลักษณ์ของธีมให้ตรงตามความต้องการของคุณหรือผู้ใช้งานได้ นอกจากนี้ยังช่วยในการทำให้ธีมดูน่าสนใจและใช้งานได้ดีในทุกอุปกรณ์ (responsive design)
JavaScript (JS) เป็นภาษาสคริปต์ที่ใช้ในการเพิ่มฟังก์ชันและการโต้ตอบในหน้าเว็บ การเข้าใจ JavaScript จะช่วยให้คุณสามารถเพิ่มความสามารถในการทำงานของธีม เช่น การสร้างแอนิเมชัน, การตรวจสอบฟอร์ม, และการดึงข้อมูลแบบเรียลไทม์ การใช้ JavaScript ร่วมกับ WordPress APIs ยังสามารถสร้างฟีเจอร์ที่มีประสิทธิภาพและซับซ้อนยิ่งขึ้น
การเรียนรู้พื้นฐานของ HTML, CSS และ JavaScript จะทำให้คุณมีความเข้าใจในโครงสร้างและการทำงานของเว็บมากขึ้น เป็นการเตรียมพร้อมที่ดีในการเริ่มพัฒนาธีม WordPress
ขั้นตอนที่ 2 – ทำความเข้าใจ WordPress
การเข้าใจพื้นฐานของ WordPress เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเป็น WordPress Theme Developer โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรู้จักและเข้าใจองค์ประกอบต่าง ๆ ของ WordPress จะช่วยให้คุณสามารถสร้างและปรับแต่งธีมได้ ดังนั้น มาดูกันว่าองค์ประกอบพื้นฐานของ WordPress มีอะไรบ้างและทำงานอย่างไร
โดยเริ่มจากการรู้จักหน้าเพจ (Pages) ซึ่งเป็นหน้าคงที่สำหรับเนื้อหาที่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงบ่อย เช่น หน้าเกี่ยวกับเรา หน้าติดต่อ หรือหน้าเงื่อนไขการให้บริการ หน้าเหล่านี้สามารถมีการจัดเรียงเป็นลำดับชั้นได้ ประกอบกับความรู้เรื่องประเภทของโพสต์ (Post Types) ซึ่ง WordPress มีมาตรฐานอยู่แล้ว เช่น บทความ (Posts) และหน้าเพจ (Pages) และยังสามารถสร้างประเภทที่กำหนดเองได้ด้วย เพื่อจัดการเนื้อหาในรูปแบบต่างๆ อย่างเป็นระเบียบ
นอกจากนี้ ปลั๊กอิน (Plugins) ก็เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ WordPress มีความสามารถและฟังก์ชันเพิ่มเติมได้ ผู้พัฒนาธีมจึงจำเป็นต้องเข้าใจการทำงานของปลั๊กอินเพื่อรองรับการใช้งานและขยายความสามารถของธีมที่พัฒนา และสุดท้ายคือการตั้งค่า (Settings) ต่างๆ ของ WordPress ที่สามารถปรับแต่งได้ ตั้งแต่การตั้งค่าทั่วไป การอ่าน การเขียน การสนทนา ฯลฯ ความรู้ในส่วนนี้จะช่วยให้ผู้พัฒนาสามารถปรับแต่งธีมให้เหมาะสมกับการใช้งานของเว็บไซต์
ยังมีความรู้อื่นๆ อีกมากมาย ในการเริ่มต้นทำความรู้จักกับ WordPress คุณสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จาก ลิงก์นี้
ขั้นตอนที่ 3 – เรียนรู้โครงสร้างธีม
การเป็น WordPress Theme Developer ที่มีความเชี่ยวชาญจำเป็นต้องมีความเข้าใจใน Theme Anatomy และ Theme Hierarchy อย่างละเอียด การรู้จักและเข้าใจโครงสร้างภายในของธีมและลำดับชั้นของแม่แบบ ( Template Hierachy )
Theme Anatomy ประกอบด้วยไฟล์หลักและโฟลเดอร์ เช่น index.php
, style.css
, functions.php
, header.php
, footer.php
, และอื่น ๆ การเข้าใจไฟล์และโฟลเดอร์เหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถจัดการและปรับแต่งธีมได้อย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ Template Tags จะช่วยให้คุณสามารถแสดงข้อมูลต่าง ๆ ในธีมได้อย่างง่ายดาย เช่น การแสดงชื่อบทความ, วันที่เผยแพร่, หรือชื่อผู้เขียน ในขณะที่ไฟล์ functions.php
จะช่วยเพิ่มฟังก์ชันและความสามารถพิเศษให้กับธีม เช่น การรองรับรูปแบบโพสต์ (post formats), เมนูนำทาง (navigation menus), และวิดเจ็ต (widgets)
ในส่วนของ Theme Hierarchy, การเข้าใจระบบลำดับชั้นของแม่แบบจะช่วยกำหนดว่าควรใช้ไฟล์แม่แบบใดในการแสดงผลหน้าเว็บต่าง ๆ เช่น หน้าแรก, หน้าบทความ, หน้าเพจ, หน้าเก็บถาวร, และหน้าค้นหา ความสามารถในการสร้างแม่แบบที่กำหนดเอง (custom templates) จะช่วยให้คุณสามารถออกแบบหน้าเว็บที่มีลักษณะเฉพาะตัว เช่น การสร้างหน้า Landing Page หรือหน้า Portfolio ที่มีการออกแบบและการทำงานเฉพาะตัว การเข้าใจ Theme Hierarchy ช่วยให้คุณสามารถปรับแต่งและขยายความสามารถของธีมได้ง่ายขึ้น และหากต้องการปรับเปลี่ยนการแสดงผลของบทความเดียว (single post) หรือหน้าเก็บถาวร (archive), คุณสามารถสร้างไฟล์แม่แบบเฉพาะและกำหนดการทำงานตามต้องการได้
ความรู้เกี่ยวกับ Theme Anatomy และ Theme Hierarchy ยังช่วยให้คุณสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับธีมได้ง่ายขึ้น เช่น หากมีปัญหากับการแสดงผลของหน้าใดหน้าหนึ่ง คุณจะรู้ว่าต้องตรวจสอบไฟล์แม่แบบใดและแก้ไขอย่างไร การเรียนรู้ Theme Anatomy และ Theme Hierarchy จะช่วยให้คุณสามารถสร้างธีมที่มีดีและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยให้คุณสามารถปรับแต่งและขยายความสามารถของธีมได้ตามต้องการ
โดยสามารถเรียนรู้อย่างละเอียดได้จากลิงก์นี้ เป็น Theme Handbook จากทาง Official ของ WordPress เลย
ขั้นตอนที่ 4 – เรียนรู้ ธีมขั้นสูง
การเรียนรู้ทักษะขั้นสูงในการพัฒนา WordPress Theme เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการเป็น WordPress Theme Developer ที่มีความเชี่ยวชาญ หนึ่งในทักษะที่จำเป็นคือการสร้าง Custom Post Types และ Taxonomies ซึ่งช่วยให้คุณสามารถจัดการและแสดงเนื้อหาที่มีโครงสร้างเฉพาะตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ การสร้าง Custom Post Types ช่วยให้คุณสามารถแยกประเภทของเนื้อหา เช่น Portfolio, Testimonials, หรือ Events ทำให้การจัดการและแสดงผลเนื้อหามีความยืดหยุ่นและง่ายต่อการควบคุม ส่วน Taxonomies เช่น Categories และ Tags ที่กำหนดเอง ช่วยให้คุณสามารถจัดกลุ่มและกรองเนื้อหาได้ตามความต้องการ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างเว็บไซต์ที่มีความซับซ้อนและมีประสิทธิภาพ
การใช้ API สำหรับการปรับแต่งธีม (Customizer API) เป็นอีกหนึ่งทักษะที่ควรเรียนรู้ Customizer API ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งธีมในแบบเรียลไทม์ผ่านอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย คุณสามารถเพิ่มตัวเลือกการปรับแต่งต่าง ๆ เช่น การเปลี่ยนสี, การอัปโหลดโลโก้, หรือการตั้งค่าเลย์เอาต์ ซึ่งทำให้ธีมของคุณมีความยืดหยุ่นและตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้งานมากขึ้น การที่ผู้ใช้สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำได้ทันทีจะช่วยให้ประสบการณ์การใช้งานดีขึ้นและลดความสับสน
อีกหนึ่งทักษะที่สำคัญคือการเพิ่มสคริปต์และสไตล์ด้วยการ Enqueuing Scripts and Styles การทำเช่นนี้ช่วยให้คุณสามารถควบคุมการโหลดของไฟล์ JavaScript และ CSS อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น แต่ยังช่วยป้องกันความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นจากการโหลดไฟล์หลายไฟล์พร้อมกัน การใช้ฟังก์ชัน wp_enqueue_script()
และ wp_enqueue_style()
ของ WordPress จะช่วยให้คุณสามารถระบุว่าควรโหลดไฟล์เหล่านี้เมื่อไหร่และอย่างไร ทำให้การจัดการสคริปต์และสไตล์ในธีมของคุณเป็นระเบียบและมีประสิทธิภาพ
อ้างอิง
ขั้นตอนที่ 5 – ความปลอดภัย และจูนความเร็ว
การเรียนรู้วิธีการใช้ Security Best Practice และการปรับจูนความเร็วด้วยการ Optimize เป็นอีกสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เช่นกัน เพื่อจะทำให้ธีมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
ในด้านความปลอดภัย (Security), การปฏิบัติตาม Security Best Practices เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันการโจมตีจากแฮกเกอร์และการทำลายข้อมูล การเข้าใจหลักการพื้นฐานของการรักษาความปลอดภัย เช่น การตรวจสอบข้อมูลที่ป้อนเข้ามา (input validation), การป้องกันการโจมตีแบบ Cross-Site Scripting (XSS) และ SQL Injection, รวมถึงการใช้ Nonces และการเข้ารหัสข้อมูล (encryption) จะช่วยให้ธีมของคุณปลอดภัยจากการถูกโจมตีและการละเมิดความปลอดภัย การรักษาความปลอดภัยที่ดีไม่เพียงแต่ช่วยปกป้องข้อมูลและผู้ใช้งาน แต่ยังสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธีมและเว็บไซต์ของคุณ
ในด้านการปรับจูนความเร็ว (Performance Optimization), การทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วและตอบสนองได้ดีเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งาน การใช้เทคนิคต่าง ๆ ในการ Optimize เช่น การลดขนาดไฟล์ CSS และ JavaScript (minification), การใช้การแคช (caching), การโหลดรูปภาพแบบ Lazy Loading, และการใช้ Content Delivery Network (CDN) จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการโหลดหน้าเว็บ การที่เว็บไซต์โหลดเร็วไม่เพียงแต่ช่วยปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้งาน แต่ยังส่งผลดีต่อการจัดอันดับในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา (SEO) อีกด้วย
อ้างอิง
ขั้นตอนที่ 6 – เครื่องมือ และ Workflow
Git เป็นเครื่องมือสำหรับการควบคุมเวอร์ชัน (version control) ที่สำคัญมากในการพัฒนาเว็บไซต์และซอฟต์แวร์ การใช้ Git ช่วยให้คุณสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงของโค้ด, ย้อนกลับไปยังเวอร์ชันก่อนหน้า, และทำงานร่วมกับทีมพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฟีเจอร์อย่าง branching และ merging ของ Git ช่วยให้คุณสามารถทำงานบนฟีเจอร์ใหม่หรือแก้ไขบั๊กได้โดยไม่รบกวนโค้ดหลัก เมื่อฟีเจอร์หรือการแก้ไขเสร็จสิ้นแล้ว คุณสามารถรวมการเปลี่ยนแปลงกลับไปยังโค้ดหลักได้อย่างง่ายดาย การใช้ Git จะช่วยป้องกันการสูญหายของโค้ดและทำให้การพัฒนามีความเป็นระเบียบและมีความปลอดภัยมากขึ้น
Local Development Environments เช่น XAMPP, MAMP, Local by Flywheel, และ Studio เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณสามารถพัฒนาและทดสอบธีม WordPress บนเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณเองโดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์จริง การใช้สภาพแวดล้อมการพัฒนาแบบโลคอลช่วยลดเวลาการอัปโหลดไฟล์และทำให้การทดสอบและแก้ไขข้อผิดพลาดเป็นไปอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณสามารถทำงานได้แม้ไม่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต การใช้เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถตั้งค่าและจำลองเซิร์ฟเวอร์ที่ใกล้เคียงกับเซิร์ฟเวอร์จริงได้ ทำให้การพัฒนาธีมมีความแม่นยำและประสิทธิภาพมากขึ้น
Foundation Theme: ในตลาดก็มีอยู่หลายตัวที่จะทำให้เราไม่ต้องเริ่มเขียนธีมตั้งแต่ศูนย์ โดยเมื่อดาวน์โหลดจะมีไฟล์เทมเพลตที่เป็น default ให้เบื้องต้น ซึ่งจะเลือกตัวไหนก็แล้วแต่ความถนัดเลย เช่น underscores, underscoretw, sage, seed webs เป็นต้น การใช้ Foundation Theme ช่วยประหยัดเวลาและเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนา WordPress Theme ของคุณ เนื่องจากมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีและเป็นมาตรฐานอยู่แล้ว คุณสามารถมุ่งเน้นไปที่การปรับแต่งและเพิ่มฟังก์ชันพิเศษต่าง ๆ ตามความต้องการของโปรเจคได้ง่ายขึ้น
- Underscores ( _s ) เป็นหนึ่งใน Foundation Theme ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มันถูกพัฒนาโดย Automattic บริษัทที่อยู่เบื้องหลัง WordPress เอง Underscores มีโค้ดที่สะอาดและเป็นมาตรฐาน ทำให้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการพัฒนาธีมใหม่ คุณจะได้รับโครงสร้างพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพและฟังก์ชันพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับธีม WordPress
- Underscoretw เป็นการปรับแต่งจาก Underscores โดยมีการรวมฟีเจอร์เพิ่มเติมเข้ากับ Tailwind CSS ทำให้การขึ้นธีม เพิ่มความรวดเร็วในการขึ้นธีม และวาง CSS อย่างเป็นระบบ เช่น สามารถติดตั้ง Browser Sync เมื่อมีการแก้ไข Code จะทำการ Refresh ให้เลย, และเมื่อพัฒนาเสร็จก็สามารถ Build ไฟล์ธีมเป็น zip นำไปใช้ได้เลย
- Sage เป็นอีกหนึ่ง Foundation Theme ที่เป็นที่นิยมในวงการนักพัฒนา Sage ใช้โครงสร้างที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น Gulp, Bower, และ Blade templates ทำให้การพัฒนาธีมมีความยืดหยุ่นและสามารถจัดการได้ง่ายขึ้น Sage เหมาะสำหรับนักพัฒนาที่มีความชำนาญในการใช้เครื่องมือเหล่านี้และต้องการโครงสร้างที่แข็งแกร่งและทันสมัย
- Seed เป็นธีมที่ออกแบบมาให้เป็นมิตรกับนักพัฒนามือใหม่และมืออาชีพ มีโครง CSS ธีมที่แต่ง Component ให้ระดับนึง และจูน UI/UX หลายๆ ส่วนมาให้เหมาะสมกับคนไทย ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นพัฒนาธีมโดยไม่ต้องเสียเวลาสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทั้งเว็บบล็อก, องค์กร และร้านค้า
ขั้นตอนที่ 7 – เผยแพร่ธีม
การส่งธีมไปยัง WordPress.org เป็นกระบวนการที่ต้องผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ทีมตรวจสอบของ WordPress.org จะตรวจสอบธีมของคุณในหลายด้าน เช่น ความปลอดภัย, การปฏิบัติตามมาตรฐานการเขียนโค้ด (coding standards), ความเข้ากันได้กับปลั๊กอินและเวอร์ชันต่าง ๆ ของ WordPress, และการใช้งานที่ถูกต้องของฟังก์ชัน WordPress การตรวจสอบนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้แน่ใจว่าธีมของคุณไม่มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย, ไม่มีโค้ดที่ไม่พึงประสงค์, และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การผ่านกระบวนการตรวจสอบนี้จะทำให้ธีมของคุณได้รับการยอมรับและวางใจจากผู้ใช้ทั่วโลก
นอกจาก WordPress.org คุณยังสามารถเลือกส่งธีมไปขายที่ตลาดอื่น ๆ เช่น ThemeForest, TemplateMonster, หรือ Creative Market ตลาดเหล่านี้มีข้อกำหนดและมาตรฐานของตัวเองในการรับธีม โดยทั่วไปแล้ว ธีมที่ต้องการส่งขายต้องมีการออกแบบที่ดี, การทำงานที่ไม่ผิดพลาด, และการสนับสนุนทางเทคนิคที่ดี การเตรียมตัวและทำความเข้าใจกับข้อกำหนดและมาตรฐานของแต่ละตลาดจะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับการอนุมัติและ การได้รับฟีดแบ็กจากผู้ใช้จะช่วยให้คุณสามารถปรับปรุงและพัฒนาธีมให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขั้นตอนที่ 8 – คอยอัพเดทสิ่งใหม่ๆ และเข้าร่วม community
การติดตามการอัพเดทของ WordPress ช่วยให้คุณสามารถปรับทิศทางการพัฒนาธีมให้ไปในทางเดียวกับการพัฒนาของแพลตฟอร์ม การอัพเดทของ WordPress มักจะมาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ ๆ, การปรับปรุงความปลอดภัย, และการแก้ไขบั๊ก การรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้คุณสามารถปรับปรุงธีมของคุณให้เข้ากันได้กับเวอร์ชันใหม่ ๆ ของ WordPress และมั่นใจได้ว่าธีมของคุณจะทำงานได้อย่างถูกต้องและปลอดภัยเสมอ การไม่ติดตามการอัพเดทอาจทำให้ธีมของคุณล้าสมัยและเกิดปัญหาความเข้ากันได้ซึ่งอาจส่งผลต่อผู้ใช้งาน
การเข้าร่วม WordPress Meetup และการแลกเปลี่ยนความรู้กับนักพัฒนาอื่น ๆ เป็นวิธีที่ดีในการพัฒนาทักษะและสร้างเครือข่ายในวงการ การเข้าร่วม community ของ WordPress จะเปิดโอกาสให้คุณได้พบปะกับนักพัฒนา, ดีไซเนอร์, และผู้ใช้งาน WordPress คนอื่น ๆ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้จะช่วยให้คุณได้รับข้อมูลใหม่ ๆ และเทคนิคที่เป็นประโยชน์ในการพัฒนาธีม นอกจากนี้ การเข้าร่วมกิจกรรมเช่น WordPress Meetup, WordCamps, และการเข้าร่วมกลุ่มออนไลน์เช่นฟอรั่มและโซเชียลมีเดียจะช่วยสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างคุณและนักพัฒนาอื่น ๆ ซึ่งสามารถนำไปสู่โอกาสทางธุรกิจและการพัฒนาที่ดีขึ้น
การคอยอัพเดทสิ่งใหม่ ๆ และการเข้าร่วม community ยังช่วยให้คุณสามารถอยู่ในแนวหน้าในวงการพัฒนา WordPress และสามารถตอบสนองต่อความต้องการและแนวโน้มใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว การที่คุณมีความรู้ทันสมัยและมีเครือข่ายที่กว้างขวางจะช่วยให้คุณสามารถพัฒนาธีมที่มีคุณภาพสูงและตรงตามความต้องการของผู้ใช้งาน และยังสามารถแก้ไขปัญหาและตอบสนองต่อข้อเสนอแนะของผู้ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทางเรามีกิจกรรม WordPress Bangkok Meetup ทุกเดือน สำหรับผู้ที่สมัครสมาชิก จะได้รับอีเมลแจ้งเตือนทุกครั้งที่มีการจัดมีทอัพ ตัวอย่างกิจกรรมที่ผ่านมา เช่น “13 ข้อ การจัดการโปรเจกต์บน WordPress ที่งาน WP Bangkok Meetup” ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม 67
นอกจาก 8 หัวข้อในบทความเกี่ยวกับการพัฒนา WordPress Theme ยังมีฟีเจอร์อื่นๆ อีกที่จะทำให้คุณเพิ่มความสามารถของธีมได้ขึ้นไปอีก เช่น การใช้ REST API เพื่อทำธีมแบบ Headless การจัดการฐานข้อมูลเพื่อใช้งานคำสั่ง SQL การทดสอบและ Debugging ธีมเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาด และการสร้างธีมที่เข้ากันได้กับ WooCommerce เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างร้านค้าออนไลน์ การพัฒนาทักษะเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถสร้างธีมที่มีคุณภาพและรองรับการใช้งานที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น