เส้นทางสู่การเป็น WordPress Theme Developer มืออาชีพ

|
16 นาที ในการอ่าน

บทความนี้จะมาแนะนำวิธีการเริ่มต้นเป็นนักพัฒนา WordPress Theme สำหรับผู้ที่สนใจสร้างธีมของตนเอง เชื่อว่าหลายคนที่ยังใช้ Elementor, Visual Composer, Beaver Builder, Oxygen Builder อาจมีคำถามว่า ถ้าอยากเริ่มเขียนธีมของตัวเองจะต้องทำอย่างไร บทความนี้จะแนะแนวทางในการเป็น Theme Developer ของ WordPress พร้อมกับสิ่งที่ควรเรียนรู้เพื่อเริ่มต้นได้อย่างไรกันครับ

เปรียเทียบข้อดี-ข้อเสีย ของการเขียนธีมเอง กับซื้อสำเร็จรูป

หัวข้อการพัฒนาธีมเองซื้อธีมสำเร็จรูป
การปรับแต่งปรับได้ทุกอย่างได้ตามใจ ทำให้ออกมาตรงกับดีไซน์ติดข้อจำกัดการปรับแต่งตามที่ธีมให้มา
ความเป็นเอกลักษณ์ดีไซน์เป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใครแน่ๆมีคนใช้งานเยอะ อาจซ้ำกับผู้อื่นได้
ค่าใช้จ่ายค่าใช้จ่ายเริ่มต้นสูงจากเวลาที่ใช้พัฒนาค่าใช้จ่ายเริ่มต้นต่ำ พร้อมใช้งานทันที
ระยะเวลาใช้เวลาพัฒนานานพร้อมใช้งานทันที
โอกาสในการเรียนรู้เพิ่มทักษะการเขียนโค้ดและความเข้าใจใน WordPressไม่ต้องเรียนรู้มาก เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น และงบน้อย
การสนับสนุนและอัปเดตขึ้นอยู่กับนักพัฒนาหรือทีมพัฒนามักมาพร้อมกับการอัปเดตและการสนับสนุนอย่างสม่ำเสมอ
การปรับประสิทธิภาพสามารถจูนประสิทธิภาพได้ทุกส่วน เนื่องจากควบคุมได้ทุกอย่างจะมีฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็นโหลดมาด้วย ซึ่งทำให้เว็บช้าลงได้
เพิ่มความสามารถในอนาคตสามารถพัฒนาให้ขยายได้ตามความต้องการในอนาคตจำกัดตามฟีเจอร์ที่มีในธีม

ไม่ว่าจะเลือกใช้แบบไหนก็ไม่มีผิดหรือถูก คุณสามารถเลือกใช้ตามที่ถนัดได้ แต่ถ้าคุณสามารถเขียนธีมเองได้ จะมีโอกาสให้คุณได้รู้จักและเรียนรู้ WordPress มากขึ้น รวมถึงสามารถสร้างจุดขายและพัฒนาตนเองได้อีกด้วย

Theme deveoper path
คลิกที่รูป เพื่อดูภาพใหญ่
known htm,css, js

ขั้นตอนที่ 1 – เข้าใจพื้นฐาน HTML, CSS, JS

สำหรับผู้ที่ต้องการเป็น WordPress Theme Developer การมีความเข้าใจพื้นฐานของ HTML, CSS และ JavaScript (JS) เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะสามเทคโนโลยีนี้เป็นพื้นฐานของการพัฒนาเว็บไซต์และธีมใน WordPress

HTML (HyperText Markup Language) เป็นภาษามาร์กอัปที่ใช้ในการสร้างโครงสร้างและเนื้อหาของหน้าเว็บ ทุกองค์ประกอบของธีม WordPress ไม่ว่าจะเป็นส่วนหัว (header), เนื้อหา (content), ส่วนท้าย (footer) หรือแม้กระทั่งเมนูนำทาง ล้วนถูกสร้างขึ้นด้วย HTML การเข้าใจโครงสร้าง HTML จะช่วยให้คุณสามารถจัดการและแก้ไขโครงสร้างของธีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

CSS (Cascading Style Sheets) ใช้ในการจัดการสไตล์และการออกแบบของหน้าเว็บ เช่น สี, ฟอนต์, การจัดตำแหน่ง และเลย์เอาต์ การเข้าใจ CSS จะช่วยให้คุณสามารถปรับแต่งรูปลักษณ์ของธีมให้ตรงตามความต้องการของคุณหรือผู้ใช้งานได้ นอกจากนี้ยังช่วยในการทำให้ธีมดูน่าสนใจและใช้งานได้ดีในทุกอุปกรณ์ (responsive design)

JavaScript (JS) เป็นภาษาสคริปต์ที่ใช้ในการเพิ่มฟังก์ชันและการโต้ตอบในหน้าเว็บ การเข้าใจ JavaScript จะช่วยให้คุณสามารถเพิ่มความสามารถในการทำงานของธีม เช่น การสร้างแอนิเมชัน, การตรวจสอบฟอร์ม, และการดึงข้อมูลแบบเรียลไทม์ การใช้ JavaScript ร่วมกับ WordPress APIs ยังสามารถสร้างฟีเจอร์ที่มีประสิทธิภาพและซับซ้อนยิ่งขึ้น

การเรียนรู้พื้นฐานของ HTML, CSS และ JavaScript จะทำให้คุณมีความเข้าใจในโครงสร้างและการทำงานของเว็บมากขึ้น เป็นการเตรียมพร้อมที่ดีในการเริ่มพัฒนาธีม WordPress

understand wordpress

ขั้นตอนที่ 2 – ทำความเข้าใจ WordPress

การเข้าใจพื้นฐานของ WordPress เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเป็น WordPress Theme Developer โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรู้จักและเข้าใจองค์ประกอบต่าง ๆ ของ WordPress จะช่วยให้คุณสามารถสร้างและปรับแต่งธีมได้ ดังนั้น มาดูกันว่าองค์ประกอบพื้นฐานของ WordPress มีอะไรบ้างและทำงานอย่างไร

โดยเริ่มจากการรู้จักหน้าเพจ (Pages) ซึ่งเป็นหน้าคงที่สำหรับเนื้อหาที่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงบ่อย เช่น หน้าเกี่ยวกับเรา หน้าติดต่อ หรือหน้าเงื่อนไขการให้บริการ หน้าเหล่านี้สามารถมีการจัดเรียงเป็นลำดับชั้นได้ ประกอบกับความรู้เรื่องประเภทของโพสต์ (Post Types) ซึ่ง WordPress มีมาตรฐานอยู่แล้ว เช่น บทความ (Posts) และหน้าเพจ (Pages) และยังสามารถสร้างประเภทที่กำหนดเองได้ด้วย เพื่อจัดการเนื้อหาในรูปแบบต่างๆ อย่างเป็นระเบียบ

นอกจากนี้ ปลั๊กอิน (Plugins) ก็เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ WordPress มีความสามารถและฟังก์ชันเพิ่มเติมได้ ผู้พัฒนาธีมจึงจำเป็นต้องเข้าใจการทำงานของปลั๊กอินเพื่อรองรับการใช้งานและขยายความสามารถของธีมที่พัฒนา และสุดท้ายคือการตั้งค่า (Settings) ต่างๆ ของ WordPress ที่สามารถปรับแต่งได้ ตั้งแต่การตั้งค่าทั่วไป การอ่าน การเขียน การสนทนา ฯลฯ ความรู้ในส่วนนี้จะช่วยให้ผู้พัฒนาสามารถปรับแต่งธีมให้เหมาะสมกับการใช้งานของเว็บไซต์

ยังมีความรู้อื่นๆ อีกมากมาย ในการเริ่มต้นทำความรู้จักกับ WordPress คุณสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จาก ลิงก์นี้

wordpress hierachy, anatomy

ขั้นตอนที่ 3 – เรียนรู้โครงสร้างธีม

การเป็น WordPress Theme Developer ที่มีความเชี่ยวชาญจำเป็นต้องมีความเข้าใจใน Theme Anatomy และ Theme Hierarchy อย่างละเอียด การรู้จักและเข้าใจโครงสร้างภายในของธีมและลำดับชั้นของแม่แบบ ( Template Hierachy )

Theme Anatomy ประกอบด้วยไฟล์หลักและโฟลเดอร์ เช่น index.php, style.css, functions.php, header.php, footer.php, และอื่น ๆ การเข้าใจไฟล์และโฟลเดอร์เหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถจัดการและปรับแต่งธีมได้อย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ Template Tags จะช่วยให้คุณสามารถแสดงข้อมูลต่าง ๆ ในธีมได้อย่างง่ายดาย เช่น การแสดงชื่อบทความ, วันที่เผยแพร่, หรือชื่อผู้เขียน ในขณะที่ไฟล์ functions.php จะช่วยเพิ่มฟังก์ชันและความสามารถพิเศษให้กับธีม เช่น การรองรับรูปแบบโพสต์ (post formats), เมนูนำทาง (navigation menus), และวิดเจ็ต (widgets)

ในส่วนของ Theme Hierarchy, การเข้าใจระบบลำดับชั้นของแม่แบบจะช่วยกำหนดว่าควรใช้ไฟล์แม่แบบใดในการแสดงผลหน้าเว็บต่าง ๆ เช่น หน้าแรก, หน้าบทความ, หน้าเพจ, หน้าเก็บถาวร, และหน้าค้นหา ความสามารถในการสร้างแม่แบบที่กำหนดเอง (custom templates) จะช่วยให้คุณสามารถออกแบบหน้าเว็บที่มีลักษณะเฉพาะตัว เช่น การสร้างหน้า Landing Page หรือหน้า Portfolio ที่มีการออกแบบและการทำงานเฉพาะตัว การเข้าใจ Theme Hierarchy ช่วยให้คุณสามารถปรับแต่งและขยายความสามารถของธีมได้ง่ายขึ้น และหากต้องการปรับเปลี่ยนการแสดงผลของบทความเดียว (single post) หรือหน้าเก็บถาวร (archive), คุณสามารถสร้างไฟล์แม่แบบเฉพาะและกำหนดการทำงานตามต้องการได้

ความรู้เกี่ยวกับ Theme Anatomy และ Theme Hierarchy ยังช่วยให้คุณสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับธีมได้ง่ายขึ้น เช่น หากมีปัญหากับการแสดงผลของหน้าใดหน้าหนึ่ง คุณจะรู้ว่าต้องตรวจสอบไฟล์แม่แบบใดและแก้ไขอย่างไร การเรียนรู้ Theme Anatomy และ Theme Hierarchy จะช่วยให้คุณสามารถสร้างธีมที่มีดีและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยให้คุณสามารถปรับแต่งและขยายความสามารถของธีมได้ตามต้องการ

โดยสามารถเรียนรู้อย่างละเอียดได้จากลิงก์นี้ เป็น Theme Handbook จากทาง Official ของ ​WordPress เลย

advanced theme

ขั้นตอนที่ 4 – เรียนรู้ ธีมขั้นสูง

การเรียนรู้ทักษะขั้นสูงในการพัฒนา WordPress Theme เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการเป็น WordPress Theme Developer ที่มีความเชี่ยวชาญ หนึ่งในทักษะที่จำเป็นคือการสร้าง Custom Post Types และ Taxonomies ซึ่งช่วยให้คุณสามารถจัดการและแสดงเนื้อหาที่มีโครงสร้างเฉพาะตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ การสร้าง Custom Post Types ช่วยให้คุณสามารถแยกประเภทของเนื้อหา เช่น Portfolio, Testimonials, หรือ Events ทำให้การจัดการและแสดงผลเนื้อหามีความยืดหยุ่นและง่ายต่อการควบคุม ส่วน Taxonomies เช่น Categories และ Tags ที่กำหนดเอง ช่วยให้คุณสามารถจัดกลุ่มและกรองเนื้อหาได้ตามความต้องการ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างเว็บไซต์ที่มีความซับซ้อนและมีประสิทธิภาพ

การใช้ API สำหรับการปรับแต่งธีม (Customizer API) เป็นอีกหนึ่งทักษะที่ควรเรียนรู้ Customizer API ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งธีมในแบบเรียลไทม์ผ่านอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย คุณสามารถเพิ่มตัวเลือกการปรับแต่งต่าง ๆ เช่น การเปลี่ยนสี, การอัปโหลดโลโก้, หรือการตั้งค่าเลย์เอาต์ ซึ่งทำให้ธีมของคุณมีความยืดหยุ่นและตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้งานมากขึ้น การที่ผู้ใช้สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำได้ทันทีจะช่วยให้ประสบการณ์การใช้งานดีขึ้นและลดความสับสน

อีกหนึ่งทักษะที่สำคัญคือการเพิ่มสคริปต์และสไตล์ด้วยการ Enqueuing Scripts and Styles การทำเช่นนี้ช่วยให้คุณสามารถควบคุมการโหลดของไฟล์ JavaScript และ CSS อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น แต่ยังช่วยป้องกันความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นจากการโหลดไฟล์หลายไฟล์พร้อมกัน การใช้ฟังก์ชัน wp_enqueue_script() และ wp_enqueue_style() ของ WordPress จะช่วยให้คุณสามารถระบุว่าควรโหลดไฟล์เหล่านี้เมื่อไหร่และอย่างไร ทำให้การจัดการสคริปต์และสไตล์ในธีมของคุณเป็นระเบียบและมีประสิทธิภาพ

อ้างอิง

security & performance

ขั้นตอนที่ 5 – ความปลอดภัย และจูนความเร็ว

การเรียนรู้วิธีการใช้ Security Best Practice และการปรับจูนความเร็วด้วยการ Optimize เป็นอีกสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เช่นกัน เพื่อจะทำให้ธีมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

ในด้านความปลอดภัย (Security), การปฏิบัติตาม Security Best Practices เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันการโจมตีจากแฮกเกอร์และการทำลายข้อมูล การเข้าใจหลักการพื้นฐานของการรักษาความปลอดภัย เช่น การตรวจสอบข้อมูลที่ป้อนเข้ามา (input validation), การป้องกันการโจมตีแบบ Cross-Site Scripting (XSS) และ SQL Injection, รวมถึงการใช้ Nonces และการเข้ารหัสข้อมูล (encryption) จะช่วยให้ธีมของคุณปลอดภัยจากการถูกโจมตีและการละเมิดความปลอดภัย การรักษาความปลอดภัยที่ดีไม่เพียงแต่ช่วยปกป้องข้อมูลและผู้ใช้งาน แต่ยังสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธีมและเว็บไซต์ของคุณ

ในด้านการปรับจูนความเร็ว (Performance Optimization), การทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วและตอบสนองได้ดีเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งาน การใช้เทคนิคต่าง ๆ ในการ Optimize เช่น การลดขนาดไฟล์ CSS และ JavaScript (minification), การใช้การแคช (caching), การโหลดรูปภาพแบบ Lazy Loading, และการใช้ Content Delivery Network (CDN) จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการโหลดหน้าเว็บ การที่เว็บไซต์โหลดเร็วไม่เพียงแต่ช่วยปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้งาน แต่ยังส่งผลดีต่อการจัดอันดับในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา (SEO) อีกด้วย

อ้างอิง

tools & workflow

ขั้นตอนที่ 6 – เครื่องมือ และ Workflow

Git เป็นเครื่องมือสำหรับการควบคุมเวอร์ชัน (version control) ที่สำคัญมากในการพัฒนาเว็บไซต์และซอฟต์แวร์ การใช้ Git ช่วยให้คุณสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงของโค้ด, ย้อนกลับไปยังเวอร์ชันก่อนหน้า, และทำงานร่วมกับทีมพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฟีเจอร์อย่าง branching และ merging ของ Git ช่วยให้คุณสามารถทำงานบนฟีเจอร์ใหม่หรือแก้ไขบั๊กได้โดยไม่รบกวนโค้ดหลัก เมื่อฟีเจอร์หรือการแก้ไขเสร็จสิ้นแล้ว คุณสามารถรวมการเปลี่ยนแปลงกลับไปยังโค้ดหลักได้อย่างง่ายดาย การใช้ Git จะช่วยป้องกันการสูญหายของโค้ดและทำให้การพัฒนามีความเป็นระเบียบและมีความปลอดภัยมากขึ้น

Local Development Environments เช่น XAMPP, MAMP, Local by Flywheel, และ Studio เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณสามารถพัฒนาและทดสอบธีม WordPress บนเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณเองโดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์จริง การใช้สภาพแวดล้อมการพัฒนาแบบโลคอลช่วยลดเวลาการอัปโหลดไฟล์และทำให้การทดสอบและแก้ไขข้อผิดพลาดเป็นไปอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณสามารถทำงานได้แม้ไม่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต การใช้เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถตั้งค่าและจำลองเซิร์ฟเวอร์ที่ใกล้เคียงกับเซิร์ฟเวอร์จริงได้ ทำให้การพัฒนาธีมมีความแม่นยำและประสิทธิภาพมากขึ้น

Foundation Theme: ในตลาดก็มีอยู่หลายตัวที่จะทำให้เราไม่ต้องเริ่มเขียนธีมตั้งแต่ศูนย์ โดยเมื่อดาวน์โหลดจะมีไฟล์เทมเพลตที่เป็น default ให้เบื้องต้น ซึ่งจะเลือกตัวไหนก็แล้วแต่ความถนัดเลย เช่น underscores, underscoretw, sage, seed webs เป็นต้น การใช้ Foundation Theme ช่วยประหยัดเวลาและเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนา WordPress Theme ของคุณ เนื่องจากมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีและเป็นมาตรฐานอยู่แล้ว คุณสามารถมุ่งเน้นไปที่การปรับแต่งและเพิ่มฟังก์ชันพิเศษต่าง ๆ ตามความต้องการของโปรเจคได้ง่ายขึ้น

  • Underscores ( _s ) เป็นหนึ่งใน Foundation Theme ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด มันถูกพัฒนาโดย Automattic บริษัทที่อยู่เบื้องหลัง WordPress เอง Underscores มีโค้ดที่สะอาดและเป็นมาตรฐาน ทำให้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการพัฒนาธีมใหม่ คุณจะได้รับโครงสร้างพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพและฟังก์ชันพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับธีม WordPress
  • Underscoretw เป็นการปรับแต่งจาก Underscores โดยมีการรวมฟีเจอร์เพิ่มเติมเข้ากับ Tailwind CSS ทำให้การขึ้นธีม เพิ่มความรวดเร็วในการขึ้นธีม และวาง CSS อย่างเป็นระบบ เช่น สามารถติดตั้ง Browser Sync เมื่อมีการแก้ไข Code จะทำการ Refresh ให้เลย, และเมื่อพัฒนาเสร็จก็สามารถ Build ไฟล์ธีมเป็น zip นำไปใช้ได้เลย
  • Sage เป็นอีกหนึ่ง Foundation Theme ที่เป็นที่นิยมในวงการนักพัฒนา Sage ใช้โครงสร้างที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น Gulp, Bower, และ Blade templates ทำให้การพัฒนาธีมมีความยืดหยุ่นและสามารถจัดการได้ง่ายขึ้น Sage เหมาะสำหรับนักพัฒนาที่มีความชำนาญในการใช้เครื่องมือเหล่านี้และต้องการโครงสร้างที่แข็งแกร่งและทันสมัย
  • Seed เป็นธีมที่ออกแบบมาให้เป็นมิตรกับนักพัฒนามือใหม่และมืออาชีพ มีโครง CSS ธีมที่แต่ง Component ให้ระดับนึง และจูน UI/UX หลายๆ ส่วนมาให้เหมาะสมกับคนไทย ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นพัฒนาธีมโดยไม่ต้องเสียเวลาสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทั้งเว็บบล็อก, องค์กร และร้านค้า
publishing theme

ขั้นตอนที่ 7 – เผยแพร่ธีม

การส่งธีมไปยัง WordPress.org เป็นกระบวนการที่ต้องผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ทีมตรวจสอบของ WordPress.org จะตรวจสอบธีมของคุณในหลายด้าน เช่น ความปลอดภัย, การปฏิบัติตามมาตรฐานการเขียนโค้ด (coding standards), ความเข้ากันได้กับปลั๊กอินและเวอร์ชันต่าง ๆ ของ WordPress, และการใช้งานที่ถูกต้องของฟังก์ชัน WordPress การตรวจสอบนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้แน่ใจว่าธีมของคุณไม่มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย, ไม่มีโค้ดที่ไม่พึงประสงค์, และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การผ่านกระบวนการตรวจสอบนี้จะทำให้ธีมของคุณได้รับการยอมรับและวางใจจากผู้ใช้ทั่วโลก

นอกจาก WordPress.org คุณยังสามารถเลือกส่งธีมไปขายที่ตลาดอื่น ๆ เช่น ThemeForest, TemplateMonster, หรือ Creative Market ตลาดเหล่านี้มีข้อกำหนดและมาตรฐานของตัวเองในการรับธีม โดยทั่วไปแล้ว ธีมที่ต้องการส่งขายต้องมีการออกแบบที่ดี, การทำงานที่ไม่ผิดพลาด, และการสนับสนุนทางเทคนิคที่ดี การเตรียมตัวและทำความเข้าใจกับข้อกำหนดและมาตรฐานของแต่ละตลาดจะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับการอนุมัติและ การได้รับฟีดแบ็กจากผู้ใช้จะช่วยให้คุณสามารถปรับปรุงและพัฒนาธีมให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

wordpress bangkok meetup

ขั้นตอนที่ 8 – คอยอัพเดทสิ่งใหม่ๆ และเข้าร่วม community

การติดตามการอัพเดทของ WordPress ช่วยให้คุณสามารถปรับทิศทางการพัฒนาธีมให้ไปในทางเดียวกับการพัฒนาของแพลตฟอร์ม การอัพเดทของ WordPress มักจะมาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ ๆ, การปรับปรุงความปลอดภัย, และการแก้ไขบั๊ก การรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้คุณสามารถปรับปรุงธีมของคุณให้เข้ากันได้กับเวอร์ชันใหม่ ๆ ของ WordPress และมั่นใจได้ว่าธีมของคุณจะทำงานได้อย่างถูกต้องและปลอดภัยเสมอ การไม่ติดตามการอัพเดทอาจทำให้ธีมของคุณล้าสมัยและเกิดปัญหาความเข้ากันได้ซึ่งอาจส่งผลต่อผู้ใช้งาน

การเข้าร่วม WordPress Meetup และการแลกเปลี่ยนความรู้กับนักพัฒนาอื่น ๆ เป็นวิธีที่ดีในการพัฒนาทักษะและสร้างเครือข่ายในวงการ การเข้าร่วม community ของ WordPress จะเปิดโอกาสให้คุณได้พบปะกับนักพัฒนา, ดีไซเนอร์, และผู้ใช้งาน WordPress คนอื่น ๆ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้จะช่วยให้คุณได้รับข้อมูลใหม่ ๆ และเทคนิคที่เป็นประโยชน์ในการพัฒนาธีม นอกจากนี้ การเข้าร่วมกิจกรรมเช่น WordPress Meetup, WordCamps, และการเข้าร่วมกลุ่มออนไลน์เช่นฟอรั่มและโซเชียลมีเดียจะช่วยสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างคุณและนักพัฒนาอื่น ๆ ซึ่งสามารถนำไปสู่โอกาสทางธุรกิจและการพัฒนาที่ดีขึ้น

การคอยอัพเดทสิ่งใหม่ ๆ และการเข้าร่วม community ยังช่วยให้คุณสามารถอยู่ในแนวหน้าในวงการพัฒนา WordPress และสามารถตอบสนองต่อความต้องการและแนวโน้มใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว การที่คุณมีความรู้ทันสมัยและมีเครือข่ายที่กว้างขวางจะช่วยให้คุณสามารถพัฒนาธีมที่มีคุณภาพสูงและตรงตามความต้องการของผู้ใช้งาน และยังสามารถแก้ไขปัญหาและตอบสนองต่อข้อเสนอแนะของผู้ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทางเรามีกิจกรรม WordPress Bangkok Meetup ทุกเดือน สำหรับผู้ที่สมัครสมาชิก จะได้รับอีเมลแจ้งเตือนทุกครั้งที่มีการจัดมีทอัพ ตัวอย่างกิจกรรมที่ผ่านมา เช่น “13 ข้อ การจัดการโปรเจกต์บน WordPress ที่งาน WP Bangkok Meetup” ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม 67


นอกจาก 8 หัวข้อในบทความเกี่ยวกับการพัฒนา WordPress Theme ยังมีฟีเจอร์อื่นๆ อีกที่จะทำให้คุณเพิ่มความสามารถของธีมได้ขึ้นไปอีก เช่น การใช้ REST API เพื่อทำธีมแบบ Headless การจัดการฐานข้อมูลเพื่อใช้งานคำสั่ง SQL การทดสอบและ Debugging ธีมเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาด และการสร้างธีมที่เข้ากันได้กับ WooCommerce เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างร้านค้าออนไลน์ การพัฒนาทักษะเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถสร้างธีมที่มีคุณภาพและรองรับการใช้งานที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น

Designil PDPA Banner Thai Woo AIO Banner
แชร์:
line

author - aum watcharapon
อั้ม วัชรพล
👨🏻‍💻 ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน WordPress

Subscribe to newsletter

doaction จะส่งเพื่อแจ้งเตือนเมื่อมีบทความใหม่ๆ ในเว็บไซต์และสามารถกดยกเลิกได้ตลอดเวลา

บทความอื่นๆ

โฮสติ้ง WordPress ยอดนิยมสำหรับคนไทยในปี 2024

ในการเลือกใช้บริการโฮสติ้งสำหรับเว็บไซต์ WordPress นั้น มีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องพิจารณา ไม่ว่าจะเป็นความเร็ว ความน่าเชื่อถือ ราคา หรือฟีเจอร์ต่างๆ ที่โฮสติ้งนั้นมีให้บริการ เพื่อให้ได้บริการที่เหมาะสมกับความต้องการมากที่สุด เราจึงได้จัดทำการสำรวจความคิดเห็นจากผู้ใช้งาน WordPress ในประเทศไทย ภายใต้ WordPress Bangkok Community

อ่านต่อ

รวมโค้ด WordPress สำเร็จรูป: แก้ปัญหายอดฮิตได้ทันที

บทความนี้ได้รวบรวมโค้ดสำเร็จรูปที่ใช้บ่อยใน WordPress และช่วยแก้ปัญหาสำหรับหลาย ๆ คน ถึงแม้จะไม่มีความรู้เรื่องโค้ดก็สามารถนำไปใช้ได้ทันที เพียงแค่นำไปวางในไฟล์ functions.php ของธีม อย่างไรก็ตาม อย่าลืมวิธีการใช้โค้ดอย่างปลอดภัย โดยการทดสอบใน local ก่อน หากนำไปใช้บน production แล้วเว็บไซต์มีปัญหา ถือว่าเตือนแล้วนะครับ !

อ่านต่อ

หากมีคำถาม หรือต้องการคำปรึกษาเกี่ยวกับ WordPress

สำนักงาน

  • บริษัท ดู แอคชั่น จำกัด
    66 ซอยเพชรเกษม 98/1, ถนนเพชรเกษม,
    แขวงบางแคเหนือ, เขตบางแค
    กรุงเทพมหานคร
    10160
ไอคอน PDPA

เว็บไซต์ของเราใช้คุกกี้เพื่อเสริมประสบการณ์การใช้งานของคุณ

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า